กิจกรรมสมาพันธ์ม่านมนตราครั้งที่สอง
เป็นเรื่องสั้นของสมาพันธ์ม่านมนตราค่ะ ^^ อ่านได้นะ คนเขียนไม่กัด หุหุ ^^
ผู้เข้าชมรวม
438
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คีย์เวริด์ ความมืด/ความรัก
นานแสนนานมาแล้ว มีเมืองๆ หนึ่งชื่อเฮฟเว่น เมืองนี้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วนคือทางเหนือเรียกว่า นอร์ธ ทางใต้เรียกว่า เซร้าท์ อันเกิดมาจากความโลภของ อัลโตนีโอ ฮาร์ซาร์ด จอมเวทย์มนต์ดำผู้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ใช้ความฉลาดนั้นในทางที่ผิด แต่ก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่จะยึดทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นของตน คือสตรีผู้ต้องการคืนสิทธิและอำนาจให้แก่ผู้คนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เธอคือ นาเดียร่า เฮเลน ธิดาแห่งพงไพรผู้ชาญฉลาด มีเมตตา และใจดี
ทั้งสองต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจ
คนหนึ่ง เพื่อตัวเอง...
อีกคนหนึ่ง เพื่อผู้อื่น...
คนหนึ่งคือแสงสว่างสำหรับทุกคน...
อีกคนคือความมืดที่จะกลืนกินทุกสิ่ง...
และสงครามนี้ก็ได้ดำเนินมานานหลายร้อยปี จากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงเวลาในปัจจุบัน...
“ท่านนาเรน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!” เสียงตะโกนดังลั่นมาจากทางประตูบานใหญ่สีขาวที่เปิดอ้า ทำให้เจ้าของห้องที่กำลังเขียนเอกสารบางอย่างบนโต๊ะต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ พร้อมกับที่ร่างของเจ้าของเสียงตะโกนได้วิ่งเข้ามาถึงพอดี
หญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะตัวใหญ่สีขาวสะอาดตาที่มีกองเอกสารหนาปึกตั้งวางอยู่เต็มไปหมด จนเห็นได้แค่ดวงหน้าหวานที่แสนงดงามของสตรีเจ้าของห้องที่กำลังนั่งทำงานเท่านั้น เจ้าหล่อนมีเรือนผมยาวหยักศกสีน้ำตาลเข้มดุจเปลือกไม้ชั้นดี ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตน้ำดีดูสดใสกำลังจ้องมองไปทางผู้มาใหม่ด้วยแววตาน่าเกรงขามราวกับจะถามว่า ‘มีอะไร’ ทำให้ผู้ถูกจ้องรีบตอบอย่างลุกรี้ลุกรน
“หัวเมืองทางใต้ของเราโดนทางเซร้าท์บุกโจมตีค่ะ!”
“อะไรนะ!” เท่านั้นแหละ คนฟังถึงกับผุดลุกขึ้นมาทันทีอย่างตกใจ นัยน์ตาสีมรกตคู่โตเบิกกว้างอย่างตกใจเป็นที่สุด ก่อนที่เจ้าหล่อนจะรีบพาร่างของตัวเองเดินออกมาจากโต๊ะทำงานทันที พลางสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไปตามทางเดินที่ทอดยาวในปราสาท ก่อนจะหันไปสั่งผู้ที่มารายงานด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ส่งกองกำลังไปเสริมทางใต้เดี๋ยวนี้!” คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะรีบเอ่ยแย้งกลับมาทันที
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่! ส่งพลทหารทางอากาศไปช่วยคนกลับมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะไปถ่วงเวลาให้” คนมีตำแหน่งสูงกว่าขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ทำให้คนต่ำศักดิ์กว่าโค้งตัวรับคำบัญชา ก่อนจะรีบวิ่งไปปฏิบัติหน้าที่ของตนในทันที ในขณะที่เธอเดินต่อไปจนถึงหน้าปราสาทที่มีเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนยืนรออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่พอเห็นเธอก็รีบเดินตรงดิ่งเดินมาหาเธอในทันที
“ท่านนาเรน...เราจะทำอย่างไรดี” หญิงชราที่เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาคนสนิทเอ่ยถามทันทีที่เดินเข้ามา สีหน้าของนางแลดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง ไม่แพ้กับเธอเลย
“ท่านจงไปบอกเนราน ให้นางดูแลบ้านเมืองแทนข้าก่อน ข้าจะไปถ่วงเวลาให้” นาเรนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นคง ทำเอาผู้สูงอายุถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่ได้! ท่านจะเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นไม่ได้นะ!” หญิงชราเถียงกลับมาแทบจะในทันที นัยน์ตาของนางเบิกกว้างอย่างตกใจ
คนถูกค้านตวัดนัยน์ตาสีมรกตคู่โตมามองอย่างเด็ดขาด ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ผู้สูงวัยถึงกับเถียงไม่ออก
“ข้าคือเหลนของท่านนาเดียร่า และเป็นผู้ปกครองนอร์ธคนปัจจุบัน แล้วท่านจะให้ข้านิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลยนอกจากยืนดูประชาชนของข้าล้มตายไปต่อหน้าต่อตางั้นรึ! ข้า...ในฐานะผู้ปกครองคนปัจจุบันน่ะ...ยอมรับไม่ได้หรอก!!”
บรรยายกาศภายในเงียบไปอีกอึดใจ ก่อนที่หญิงชราจะถอนหายใจอย่างยอมแพ้ พร้อมกับก้มหัวรับบัญชา
“งั้นข้าก็ไม่ขอห้ามท่านอีกต่อไป...ขอให้ท่านโชคดี” สิ้นคำกล่าว นาเรนก็ขยับยิ้มหวานรับ ก่อนจะวิ่งพรวดออกไปทางประตูปราสาท แล้วกางปีกสีสวยเหมือนปีกของผีเสื้อออกมา แล้วโผทยานขึ้นสู่ฟากฟ้าสีครามทันที
ทันทีที่บินมาถึงเขตชายแดนทางใต้ของนอร์ธ นาเรนก็ได้เห็นในสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก...
โลหิตสีแดงฉานเปรอะเปื้อนไปทั่วผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณนับร้อยนอนตายเกลื่อนกลาด ไม่เว้นแม้แต่เด็กทารกตัวเล็กๆ ที่ถูกชำแหละเหมือนเป็นแค่หมูตัวหนึ่ง
เธอเบือนหน้าหนีภาพเหล่านั้นด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ ก่อนที่ขาเรียวยาวจะพาร่างระหงเดินไปทางเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างน่ากลัว
“กรี๊ด!!!!”
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
“อย่า...อย่าทำอะไรลูกข้านะ! อย่า!!!!”
ในที่นั้นเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความชุลมุนวุ่นวายทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็นผู้มาใหม่ที่กำลังยืนมาองด้วยสายตาเคียดแค้นสุดฤทธิ์
...เราจะได้เห็นดีกัน!
นาเรนกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะสะบัดมือสั่งต้นไม้แถวนั้นให้ก้าวเดินออกไปราวกับทหารที่มีชีวิต เพื่อไปช่วยชาวบ้านที่กำลังถูกรุกรานโดยศัตรูเก่าของพวกเขา ชาวเซร้าท์ผู้โหดเหี้ยม...
“ข้าแต่เทพแห่งท้องนภา ข้า ในนามของทายาทของธิดาแห่งพงไพร...ข้าขอพลังอำนาจแห่งท่าน จงโปรยปรายหยาดพิรุณ เพื่อกำจัดเพลิงและศัตรูแห่งพวกข้าให้สิ้นไป...เรนนาไทน์!!” สิ้นเสียงบริกรรมคาถาจากผู้ครองนครแห่งนอร์ธ หยาดฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งดับกองเพลิงและชีวิตของทหารเลือดเย็นทางฝั่งเซร้าท์จนล้มตายไปหลายคน และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่กองกำลังเสริมจากรางวังจะมาถึง และช่วยกันพาร่างของผู้รอดชีวิตขึ้นไปบนเรือเหาะยักษ์สี่ลำที่ตามมาด้วย
“ย้ากกกก!” เสียงนายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งที่เห็นพวกพ้องตายไปต่อหน้าต่อตาพร้อมดาบยาวในมือ ที่ถูกเงื้อสูงขึ้นเหนือหัว หมายจะฟันเธอให้หัวแบะ
นาเรนกระโดดหลบอย่างชำนาญ ก่อนจะเรียกดาบเรียวยาวสีเงินที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่รอบด้ามดาบขึ้นมาถือในมือ แล้วยกมันขึ้นรับการโจมตีของอีกฝ่ายไว้อย่างทันท่วงที
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! บึ้ม!
นาเรนผลักอีกฝ่ายออกห่าง ก่อนจะหมุนตัวฟาดดาบใส่อย่างรุนแรงด้วยท่วงท่าที่งดงามและอ่อนหวาน ซึ่งอีกฝ่ายก็สามารถรับมันไว้ได้อย่างทันท่วงที หญิงสาวจึงถอยมาหนึ่งก้าว ก่อนจะกระหน่ำฟาดฟันเข้าไปอย่างดุดัน เพื่อต้องการให้อีกฝ่ายสิ้นชีพ พร้อมกับส่งสายฟ้าให้ฟาดเปรี้ยงลงมาอีกอย่างเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามให้สิ้นซาก โดยไม่รู้เลยว่ามีบุรุษผู้หนึ่งกำลังมองมาจากในเงามืด
ฉัวะ! ฉัวะ! ตึง!
เมื่อฝ่ายทหารเพลี่ยงพล้ำ นาเรนก็ฟัดฉับลงไปที่อกของอีกฝ่ายของที ก่อนจะเก็บดาบแล้วยืนมองร่างไร้วิญญาณด้วยแววตาเศร้าสร้อย
...ข้าไม่ชอบเลย
...ไม่ชอบเลยจริงๆ
...อภัยให้ข้าด้วย...
หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาสีมรกตคู่งาม ก่อนที่จะมีร่างๆ หนึ่งพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังของเธอพร้อมกับเอาอะไรบางอย่างมาปิดปากและจมูกของเธอ จนเธอเริ่มรู้สึกมึนหัว ก่อนจะสลบไปในที่สุด...
บุรุษร่างสูงสง่าในชุดผ้าเนื้อดียืนมองสตรีร่างบางที่อยู่บนเตียงตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย บุรุษผู้มีเรือนผมยาวประบ่าสีดำสนิทที่ถูกมัดไว้แค่ครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย รับกับดวงตาคู่คมสีเทาที่กำลังจ้องมองดวงหน้านวลละเอียดของอีกฝ่ายที่เขาเป็นคนพาตัวมาอย่างพินิจพิเคราะห์ ดวงหน้าคมคายราวเทพบุตรเรียบเฉยอย่างคนเก็บความรู้สึก
“ท่านอัลไพน์ขอรับ...จะให้ข้าทำอย่างไรกับสตรีผู้นี้ดีขอรับ” ทหารคนสนิทที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้น หลังจากที่เขายืนมองนายเหนือหัวผู้นี้จ้องมองสตรีตรงหน้ามานานมากแล้ว นับตั้งแต่ที่ท่านอุ้มร่างนี้กลับมาที่วังหลวง จนนำนางมานอนในห้องของตนเนี่ยแหละ
“ข้าจะจัดการเอง...เจ้าออกไปก่อน” เจ้าของชื่อตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ โดยไม่ละสายตามามองที่คู่สนทนาอย่างเขาเลยสักนิด ทำให้คนถูกสั่ง ต้องก้มหัวรับบัญชาแล้วทำตามอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อนายทหารคนสนิทอัปเปหิตัวเองออกจากห้องของเจ้านายไปแล้ว ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่คมสีเทาก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงที่หญิงสาวนอนอยู่ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วเพ่งพิศมองดวงหน้าหวานราวเทพธิดานั้นอย่างหลงใหล ก่อนจะเอื้อมมือออกมาปัดปอยผมสีน้ำตาลเข้มที่ปรกใบหน้าออกให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะถอยออกมานั่งกอดอกรอตรงเก้าอี้ตามเดิมจนเผลอหลับไป
ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับเปลือกตาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นดวงตากลมโตสีมรกตน้ำดีคู่หวานซึ้งที่กำลังกวาดสายตามองเพดานห้องอย่างงงงวย
...ที่นี่...
...ที่ไหนกัน?
คำถามที่ตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เจ้าหล่อนจึงลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะได้เห็น บุรุษร่างสูงเจ้าของเรือนผมยาวประบ่าสีดำสนิทที่ถูกมัดไว้ครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย กำลังนั่งกอดอกก้มหน้า หลับอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ เตียงของเธอโดยไม่รับรู้สิ่งใด ทำให้เธอถึงกับขมวดคิ้วอย่างงงๆ
...เดี๋ยวนะ
...เราจำได้ว่า
...พอฆ่าทหารคนนั้นเสร็จ เราก็วูบไปเลย...
...หมายความว่ายังไงกัน แล้วเจ้านี่เป็นใคร?
นาเรนคิดอย่ากลัดกลุ้ม พอดีกับที่บุรุษเจ้าของห้องได้ลืมตาตื่นขึ้นจากนิทรารมณ์ เผยให้เห็นดวงตาคู่คมสีเทาที่ดูน่าหลงใหลที่กำลังจ้องเขม็งมาทางเธอจนไม่อาจละสายตาไปไหนได้
ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทั้งสองมองสบตาประสานกันอย่างไม่มีใครที่จะละสายตาไปได้แม้แต่วินาทีเดียว ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวเป็นคนแรก เธอจึงเบือนหน้าหลบสายตาของอีกฝ่ายพร้อมกับพวงแก้มขาวที่ขึ้นสีระเรื่อ
“ท่านเป็นใครกัน แล้วข้าอยู่ที่ไหนรึ?” นาเรนแสร้งถามเฉไปเรื่องอื่นอย่างไม่อยากจะต่อความเรื่องเมื่อครู่ ทำให้คนกำลังเคลิ้มหลุดออกมาจากพวังค์ที่แสนหวานเมื่อครู่ในทันที
“ข้าชื่อ อัลไพน์ ฮาร์ซาร์ด และที่นี่คือราชวังเซร้าท์ไทน์...” เมื่อชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายหลุดออกมาจากริมฝีปากบางนั่น เธอก็แทบอย่างจะกรี๊ดลั่นห้องด้วยความตกใจ
“อะไรนะ!!”
“เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก นาเรนเธีย เฮเลน” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพื่อย้ำเตือนว่านี่คือเรื่องจริง ทำเอาบรรยากาศหวานซึ้งเมื่อครู่มลายหายไปในพริบตา นัยน์ตาสีมรกตคู่โตส่อแววขุ่นเคืองอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ถึงสถานะของตน
“หึ! แล้วท่านจะพาข้ามาทำไมรึ ท่านอัลไพน์...” น้ำเสียงประชดประชันดังขึ้นอย่างหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของเจ้าผู้ครองเมืองนอร์ธองค์ปัจจุบัน ทำให้คนฟังถึงกับลอบยิ้มในความถือดีที่ดูน่ารักของคนตรงหน้า
“ข้าแค่ลักพาตัวท่านมาเพื่อจะเจรจา...” ชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบประดุจสายน้ำที่นิ่งสงบ แต่ในหก้วงความคิดกลับนึกคำในท่าทางแสนเชิด เอาแต่ใจ และหยิ่งทระนงของคนตรงหน้าอย่างหยุดไม่อยู่
“เจรจา? โดยการลักพาตัวข้ามาแบบนี้เนี่ยนะ!” น้ำเสียงหวานเอ่ยทวนอย่างประชดประชันด้วยน้ำเสียงฟังดูสูงขึ้นพิกลๆ ดวงหน้าหวานงอง้ำอย่างกับจะบ่งบอกว่าเจ้าของหน้ากำลังหงุดหงิดเพียงใด แต่ถ้ายังไม่แน่ใจให้ลองสบตากับดวงตาคู่โต่สีเขียวมรกตน้ำดีคู่นั้นดูสิ จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดสุดยอดเลย
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจ แต่เพราะข้ามีปัญหาภายในนิดหน่อย...” อัลไพน์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าของเสียงกำลังรู้สึกผิดแค่ไหน นัยน์ตาคู่คมสีเทาถึงได้สั่นไหววูบอย่างน่าประหลาด ทำให้คู่สนทนาเผยใจอ่อนไปนิด ก่อนจะกลับมาเท้าเอวแกล้งถามเสียงเข้มไปอย่างนั้น
“ปัญหาภายใน?” นาเรนแกล้งขึ้นเสียงสูงถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย ก่อนจะเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยสายตาใสซื่อบริสุทธิ์จนคนมองถึงกับหน้าแดง
“กะ...ก็ พอดีมีคนคิดกบฏกับข้าน่ะ...อีกอย่าง การบุกทางตอนใต้ของนอร์ธก็ไม่ใช่คำสั่งของข้าด้วย” อัลไพน์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พลางเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายไปอย่างไม่อยากให้อีกฝ่ายได้เห็นสีแดงๆ บนใบหน้าของตน
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่เห็นด้วยกับสงครามของเรางั้นรึ?” เจ้าเมืองสาวแห่งนอร์ธเอ่ยถามอย่างสงสัย พร้อมกับเลิกคิ้วเรียวดั่งคันศรสีน้ำตาลเข้มขึ้นอย่างแปลกใจกับคำตอบที่ได้ยิน
“ใช่...ข้าไม่ชอบการเข่นฆ่า แต่มีกลุ่มคนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับข้าและก่อการกบฏ ข้าเลยอยากจะผูกสัมพันธไมตรีกับท่าน” ฝ่ายชายยังคงชี้แจงต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตาจริงจังกับคำพูดที่ถูกส่งตรงมาจากดวงตาคู่คมสีเทาก็เป็นตัวยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงเจตนารมณ์ของผู้กล่าว
“งั้นข้าจะไว้ใจท่านได้อย่างไร ว่าท่านจะไม่มารุกรานข้าอีก” หญิงสาวถามอย่างหยั่งเชิงอีกฝ่าย พร้อมกับหรี่ตามองอย่างกับจะจับผิด
“ถ้าข้าจะบิดพลิ้วสัญญานั่นข้าคงฆ่าท่านไปแล้วตั้งแต่ที่ท่านอยู่ในป่านั่น” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ บ่งบอกถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่เริ่มจะไม่คงทีเสียแล้วเมื่อถูกดูหมิ่นเกียรติของท่านผู้ครองเซร้าท์คนปัจจุบัน
แต่คำตอบของฝ่ายชายก็ทำเอาฝ่ายหญิงเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เจ้าหล่อนถึงได้นิ่วหน้าแล้วตอบประชดกลับไปพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย
“หึ! งั้น ถ้าข้าไม่ตกลงเจ้าก็จะฆ่าข้าใช่ไหมล่ะ...งั้นก็ฆ่าข้าซะเลยสิ เอาเลย!”
ฝ่ายคนถูกท้าแทนที่จะโกรธกลับหลุดเผยรอยยิ้มที่เห็นได้ยากออกมา ทำเอาคนดูถึงกับหน้าแดงเลยที่เดียว
ผัวะ!
เสียงเปิดประตูอย่างรุนแรงดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยร่างเล็กๆ ของทหารผู้หนึ่งที่พุ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับรายงานที่ทำให้คนฟังทั้งสองถึงกับเบิกตากว้าง
“ท่านอัลไพน์ครับ พวกกบฏมันมาบุกที่ราชวังของเรากับราชวังของนอร์ธด้วยครับ”
“อะไรนะ!!” สองเสียงร้องประสานกันอย่างตกใจ ก่อนที่ฝ่ายเจ้าเมืองของนอร์ธจะรีบสาวเท้าจะเดินออกจากห้องทันที แต่ก็ถูกมือหนาของเจ้าของห้องคว้าหมับเอาไว้ซะก่อน
“ท่านจะไปไหน” อัลไพน์ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ นัยน์ตาคูคมสีเทาส่อประกายดุๆ แต่คนโดนถามกลับถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างกับจะบอกว่าให้ปล่อยมือยังไงอย่างงั้น แต่เมื่อคนโดนถลึงตายังไม่ยอมปล่อยข้อมือบาง เจ้าของมือถึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก
“ข้าก็จะกลับไปช่วยประชาชนของข้าน่ะสิ...ปล่อยแขนข้าด้วย!”
คนฟังทำสีหน้าเรียบเฉยแทนคำตอบ นัยน์ตาสองคู่ต่างสีสบประสานกันอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่ฝ่ายชายจะเห็นลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเฉี่ยวมาทางนี้โดยมีเป้าหมายคือร่างบางระหงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขานี่เอง!
ร่างสูงใหญ่รั้งเอวบางเข้ามาแนบตัว แล้วหมุนตัวหลบวิถีของลูกดอกที่พุ่งมาอย่างสวยงาม แต่คนถูกฉวยโอกาสอย่างไม่ทันตั้งตัวนี่สิ ถึงกับอึ้งค้างไปเลยทีเดียว
“บังอาจนัก! ทหาร! ไปลากคอพวกกบฏมาให้หมดทุกคน!” ชายหนุ่มตวาดอย่างโมโหที่มีคนคิดลอบสังหารหญิงสาวคนนี้ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรกัน ดวงตาคู่คมสีเทาถึงได้วาวโรจน์จนเธอที่เผลอจ้องตากับเขาถึงกับเกิดอาการเกรงกลัวไปชั่วขณะ
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” อัลไพน์หันมาถามหญิงสาวด้วยแววตาที่อ่อนโยน ด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลอย่างมากจนคนมองรู้สึกหายใจติดขัด เพราะตอนนี้หน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน ทำเอาต่างฝ่ายต่างก็หน้าแดงไม่แพ้กันเลยทีเดียว
ทั้งสองรีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยขอโทษพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจ
“ข้าขอโทษ!!” ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนจะรีบหลบสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา
“เราไปกันเถอะ ข้าจะไป...” ฝ่ายชายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาแล้วทำท่าจะดึงให้เดินไปด้วยกัน แต่ฝ่ายหญิงกลับหยุดเดินเสียดื้อๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“เรื่องสัมพันธไมตรีนั่น ข้ายินยอมร่วมกับท่านด้วย” ฝ่ายชายเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพยักหน้ารับเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนที่ทั้งสองจะพากันเดินออกไปตามทางเดินปราสาทที่ทอดยาวด้วยพรมสีดำเคียงคู่กันพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ได้ก่อนตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
เมื่อเดินออกมาถึงห้องโถงใหญ่ในปราสาท ก็เห็นเหล่าทหารและพวกกบฏในชุดสีแดงคลุมหน้าคลุมตากำลังฟาดดาบใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนที่จะมีหลายคนที่เห็นการมาของพวกเธอ ก็พากับวิ่งเข้าหาพร้อมดาบในมือที่หวังปลิดชีพในคราวเดียว
นาเรนเรียกดาบคู่ใจเข้ามาอยู่ในมือเตรียมพร้อมจะปะทะทุกเมื่อ ส่วนบุรุษข้างกายก็เรียกคทาด้ามสีดำทมิฬขึ้นมาถือไว้ทันทีอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทั้งสองจะหันมาพยักหน้าให้สัญญาณแล้วเอาหลังชนกันสู้ทั้นที
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉับ!
เสียงดาบเรียวยาวที่ถูกพันด้วยเถาวัลย์ที่อยู่ในมือหญิงสาวที่กำลังใช้ฟาดฟันเหล่าทหารที่ดาหน้าเข้ามาเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว งดงาม และแข็งแกร่ง ส่วนอีกฝ่ายที่ชนหลังอยู่กับเธอนั้น ก็คอยส่งคลื่นพลังเวทย์สีดำที่มีอานุภาพร้ายแรงไม่น้อยคอยเก็บพวกที่อยู่ข้างหลังอย่างขมักเขม้น
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ก่อนที่เรื่องที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น เมื่อดาบที่ควรจะฟัดใส่ทหารกล้ากลับฟันพลาดไปเพราะความเหนื่อยอ่อน จนกลายเป็นช่องโอกาสทองให้ศัตรูได้แทงดาบสวนกลับมาโดยมีเป้าหมายคือตำแหน่งหัวใจ!
ร่างบางเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดฤทธิ์ จะยกดาบขึ้นกันก็ไม่ทันแล้วด้วย ในขณะที่หลับตาปี๋เตรียมรับความตายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า กลับได้ยินเสียงฉึก! แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บแต่ประการใด ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามองอย่างสงสัย
ก็ได้พบแผ่นหลังกว้างที่แสนคุ้นเคยของบุรุษเจ้าของดวงตาสีเทาที่พุ่งเข้ามารับดาบแทนเธอจนเป็นฝ่ายถูกแทงเสียเอง ริมฝีปากบางของเธอสั่นระริก ความคิดหลากหลายประเดประดังเข้ามามากมาย ทั้งความรู้สึกงง สงสัย แปลกใจ ตกใจ และใจหาย กับการกระทำของบุรุษตรงหน้า ก่อนจะเผลอเรียกชื่อคนตรงหน้าออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว พร้อมความคิด
...ทำไมถึงช่วยข้า มันเพราะอะไรกัน?
“อัลไพน์...” อีกฝ่ายที่ได้ยินชื่อของตนหันหน้ามาส่งยิ้มให้ ก่อนจะส่งระเบิดเวทย์สีดำลูกใหญ่เท่าบอลลูนยักษ์กลับไปถล่มเจ้าพวกนั้นจนราบเป็นหน้ากอง แล้วทรุดตัวลงไปทันทีอย่างเหนื่อยอ่อน
“ทำใจดีๆ ไว้ อัลไพน์! เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ!” ร่างบางตรงหน้ากรีดร้องอย่างเสียขวัญ ก่อนจะคุกเข่าลงไปนั่งประคองร่างสูงมาไว้ในอ้อมแขนอย่างถนุถนอม ความรู้สึกใจหายและเศร้าสลดพุ่งวูบเข้ามาในจิตใจทันทีอย่างหยุดไม่ได้
“ท่านอย่าร้องไห้เพื่อข้าเลย จงไปปกป้องประชาชนของท่านเถิด ไม่ต้องห่วงข้า” อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ
“ไม่นะ เจ้าตายไม่ได้นะ!” นาเรนกรีดร้องอีกรอบ คราวนี้หยาดน้ำตาไหลรินลงมาจริงๆ ท่านเจ้าเมืองแห่งเซร้าท์แสยะยิ้มออกมาราวกับจะเย้ยเบื้องบน เมื่อเธอเห็นสีหน้านั้นแล้ว เธอถึงได้เข้าใจในความรู้สึกของตน
“ทำไมข้าถึงตายไม่ได้ล่ะ” ถามกลับไปอย่างนั้น แต่คำตอบที่ได้ยินทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง
“เพราะข้ารักเจ้า...” ริมฝีปากบางเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา ในขณะที่คนฟังที่ใกล้ตายถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา
“ข้าก็รักท่าน...แต่ท่านจะตายที่นี่ไม่ได้!” ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนเป็นเสียงดุดันในตอนท้าย แล้วพยายามเหยียดกายลุกขึ้นทั้งๆ ที่บาดแผลตรงท้องเริ่มเปิดกว้างขึ้นพร้อมๆ กับเลือดสีแดงที่เริ่มซึมออกมา
“ไม่ได้นะ! เจ้าลุกไม่ได้นะ” หญิงสาวร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นเลือด ก่อนจะพยายามดันให้อีกฝ่ายนอนลงกลับไปแบบเดิม แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วเริ่มร่ายมนต์
“ข้าแต่จันทรายยามราตรีกาล จงสาดแสงและมอบพลังแก่ข้า โปรดเคลื่อนย้ายสตรีนางนี้ ไปสู่เมืองนอร์ธอย่างปลอดภัย...มูนคลาว!” สิ้นเสียงร่ายเวทย์ ร่างบางตรงหน้าก็เรืองแสง ก่อนจะหายไปพร้อมกับภาพสุดท้ายที่เห็น คือดวงตาสีมรกตที่มีหยาดน้ำประดับอยู่ แล้วสติทั้งมวลของคนเจ็บก็ดับวูบลง....
สองปีต่อมา....
หลังจากเหตุการณ์ในคราวนั้น เธอก็ได้กลับมาที่นอร์ธและช่วยเมืองของตนไว้ได้ และได้ข่าวว่าทางเซ-ร้าท์เองก็กวาดล้างพวกกบฏสำเร็จแล้วเช่นกัน
นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้ว เธอยังไม่ได้เจอกับอัลไพน์อีกเลย นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาร่ายเวทย์ส่งเธอกลับมาที่นอร์ธ ทำเอาเจ้าเมืองนอร์ธถึงกับยิ้มเศร้าทุกวัน จนเหล่าข้าทาสบริวารต่างก็พากันเป็นห่วงเจ้านายสาวอย่างสุดซึ้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง...
“ท่านนาเรนค่ะ...มีท่านราชฑูตจากเซร้าท์มาขอเข้าพบค่ะ” จู่ๆ นางกำนัลสาวก็เดินเข้ามารายงานข่าวให้กับเธอถึงหน้าห้องทำงาน ทำให้คนที่ถูกเรียกต้องเงยหน้าจากงานที่ทำขึ้นมามองอย่างสงสัย
“ใครกันรึ?”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบอย่างนอบน้อมและเกรงกลัว แต่คนถามก็ไม่ได้ติดใจอะไรจึงสั่งว่า
“ไม่เป็นไร...” นาเรนกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินตามนางกำนัลออกไปทางประตูห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ ภาพที่เห็นคือ ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งที่ดูคุ้นเคยเสียจนน่าตกใจ แผ่นหลังกว้างกำยำ เรือนผมยาวประบ่าสีดำสนิทที่ถูกรวบไว้ครึ่งเดียวอย่างเรียบร้อย
“อัลไพน์...” นาเรนเผลอเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว แต่เจ้าของชื่อกลับหันหน้ากลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้างราวกับมีหูทิพย์
“นาเรน...” อีกฝ่ายเรียกชื่อเธอยังไม่ทันจบดี นาเรนก็วิ่งเข้าไปกอดคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนหลายคนในที่นั้นถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจกับการกระทำของสตรีผู้มีอำนาจสูงสุดในดินแดนทางเหนือ
“เจ้าหายไปไหนมา! ข้าคิดถึงเจ้ามากรู้ไหม!” นาเรนต่อว่าอีกฝ่ายทันที ขณะที่มือบางก็ยังกอดคนตรงหน้าไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีก
“ข้าขอโทษ...” อัลไพน์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนเศร้าสร้อย นัยน์ตาสีเทาคู่คมแลดูไหววูบ
“ว่าแต่...เจ้ามาที่นี่ทำไมเหรอ” นาเรนดันคนตรงหน้าออก ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย ทำให้คนถูกถามยิ้มออกมา
“ข้ามาขอรวมดินแดนนอร์ธและเซร้าท์ให้เป็นดินแดนเดียวกัน และ...” อัลไพน์ละไว้นิดนึงอย่างลองเชิง ทำให้คนอยากรู้ต้องถามเร่งเข้าไปอีก
“และอะไร?”
“มาขอเจ้าแต่งงาน...” สิ้นคำ คนถูกขอแต่งงานแบบไม่ตั้งตัวก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเขินอาย
“บ้า!”
“ข้าไม่บ้านะ...เว้นแต่ว่าเจ้าจะรังเกียจข้าที่เป็นผู้ใช้มนต์ดำ” ชายหนุ่มแกล้งแหย่หญิงสาวเล่นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ และก็ได้ผล เจ้าหล่อนตาวาวขึ้นมาทันทีก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่! ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้านะ!” เมื่อพูดออกไปแล้วอีกฝ่ายก็ยิ้มกว้าง นาเรนถึงรู้ว่าโดนอีกฝ่ายหลอกเข้าให้แล้ว
“นี่เจ้าแกล้งข้า!” หล่อนชี้หน้าด่าเขาอย่างโกรธๆ นัยน์ตาสีมรกตวาวๆ ดูน่ากลัวในความรู้สึก
“แล้วเจ้าจะแต่งไหมล่ะ” แกล้งถามเฉไปเรื่องอื่นเพื่อง้ออีกฝ่าย และพอได้คำตอบก็เรียกรอยยิ้มจากผู้ใช้มนต์แห่งรัตติกาลได้เป็นอย่างดี
“แต่งสิ...ข้าจะปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ...” กล่าวยังไม่ทันจบดี ฝ่ายชายก็ก้มลงมาประทับริมฝีปากด้วยอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ท่ามกลางสายตาแห่งความปิติของเหล่าเสนาฯ และนางกำนัล...
+++++++++++++++++++++++++++
จบแล้วค่า^^
ผลงานอื่นๆ ของ nass_san ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ nass_san
ความคิดเห็น